วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3 วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ.2561


บันทึกการเรียนครั้งที่ 3 
วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ.2561
ความรู้ที่ได้รับ
  • คำคมผู้บริหาร 
  • บทบาทของผู้บริหาร 
  • ประเภทของผู้นำ 
  • คุณสมบัติของผู้นำ 
  • ลักษณะและบทบาทของผู้นำ 
  • บทบาทหน้าที่ของผู้นำ 
  • ผู้นำยุคใหม่ 
  • ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร 
  • คุณลักษณะของผู้บริหาร 
  • ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่ 
  • การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย 
  • ระบบการบริหาร 
  • หลักการจัดบริหารงานยุคใหม่ 
  • ภาระหน้าที่ของผู้บริหาร 
  • บทบาทหน้าที่ของผู้บ 
  • ทักษะการบริหาร 
คำคมผู้บริหาร


นางสาว ภัทรวรรณ นิยมพงษ์


นางสาว ชื่นนภา เพิ่มพูล


นางสาว ปฐมพร จันทรวิมล

บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร



บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์
เมื่อกล่าวถึงผู้นำ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้ หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัว
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการบริหาร ผู้นำยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกรับภาระ นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า บทบาทผู้นำในยุคของพระนเรศวรมหาราชกับผู้นำของวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ หากผู้นำคนใดยังผูกขาดการตัดสินใจ ไม่ยอมสร้างการมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะนำพาองค์กรหรือประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้นำยุคนี้ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ

ความรู้เกี่ยวกับผู้นำ
ความหมายและประเภทของผู้นำ
ผู้นำ (Leader) หมายถึง บุคคลที่มีศิลป บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership) เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคน เพราะผู้บริหารต้องมีทักษะ มีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย

ประเภทของผู้นำ
1. ผู้นำตามอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal) และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม ในการปฏิบัติ จำแนกผู้นำประเภทนี้ออกเป็น 3 แบบ คือ 1 ผู้นำแบบใช้พระเดช 2 ผู้นำแบบใช้พระคุณ 3 ผู้นำแบบพ่อพระ

1.1 ผู้นำแบบใช้พระเดช
(Legal Leadership) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมายมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการมาหรือเกิดขึ้นจากตัวผู้นั้น หรือจากบุคลิกภาพของผู้นั้นเอง ผู้นำแบบนี้ได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกระทรวง ทบวง กรม เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หัวหน้ากอง และหัวหน้าแผนก เป็นต้น

1.2 ผู้นำแบบใช้พระคุณ
(Charismatic Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ความสำเร็จในการครองใจและชนะใจของผู้นำประเภทนี้ ได้มาจากแรงศรัทธาที่ก่อให้ผู้อยู่ใต้บังคับเกิดความเคารพนับถือและเป็นพลังที่จะช่วยผลักดันให้ร่วมจิตร่วมใจกัน ปฏิบัติตามคำสั่งแนะนำด้วยความเต็มใจ ตัวอย่างได้แก่ มหาตมะคันธี ซึ่งสามารถใช้ภาวะการเป็นผู้นำครองใจชาวอินเดียนับเป็นจำนวนล้าน ๆ คน ได้

1.3 ผู้นำแบบพ่อพระ (Symbolic Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธา หรือสัญญาลักษณ์ในตัวของผู้นั้นมากกว่า เช่น พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์ประมุขและสัญลักษณ์ของแรงศรัทธาของประชาชนไทยทั้งมวล

2. ผู้นำตามการใช้อำนาจ
2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ตั้งตัวเป็นผู้บงการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังโดยเด็ดขาด ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One Man Show อยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ฮิตเลอร์

2.2 ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laisser-Faire Leadership) หรือ Free-rein Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี ซึ่งการกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้ และตนเป็นผู้ดูแลให้กิจการดำเนินไปได้โดยถูกต้องเท่านั้น มีการตรวจตราน้อยมากและไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือในการดำเนินงานใด ๆ ทั้งสิ้น

2.3 ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำแบบนี้ เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้ ฉะนั้น นโยบายและคำสั่งจึงมีลักษณะเป็นของบุคคลโดยเสียงข้างมาก

3. ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก
จำแนกเป็น 3 แบบ คือ
3.1 ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่ คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น ผู้อื่นเป็นเด็ก อาจจะแสดงออกมาในบทบาทของพ่อแม่ที่อบอุ่น ใจดี ให้กำลังใจ หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์ วิจารณ์ คาดโทษ แสดงอำนาจ

3.2 ผู้นำแบบนักการเมือง (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ ผู้นำแบบนี้เข้าทำนองว่ายืมมือ ของผู้บังคับบัญชาของผู้นำแบบนี้อีกชั้นหนึ่ง โดยเสนอขอให้สั่งการเพื่อประโยชน์แก่การสร้างอิทธิให้แก่ตนเอง

3.3 ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง เช่น คุณหมอพรทิพย์ มีความเชี่ยวชาญในการตรวจ DNAถ้าพิจารณาจากบุคลิกภาพอีริก เบิร์น จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุคลิกภาพของคนว่ามีอยู่ 3 องค์ประกอบ คือภาวะของความเป็นเด็ก (Child egostate ) ภาวะของการเป็นผู้ใหญ่ (Adult egostate ) และภาวะของความเป็นผู้ปกครอง (Parents egostate) ก็จะมองผู้นำได้เป็น 3 แบบ คือภาวะความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ

ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัย Michigan ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้นำ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ


1. ผู้นำที่มุ่งคน (Employee Oriented) คือผู้นำที่เน้นความมีสัมพันธภาพที่ดีกับพนักงาน กับบุคคลทั่วไป ยอมรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน

2. ผู้นำที่มุ่งงาน (Production Oriented) เน้นวิธีการปฏิบัติงานและผลงานที่จะได้ มองพนักงานเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิดผลงาน

คุณสมบัติของผู้นำ

ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ จะต้องเป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาภายหลังได้ (Leader are bone, not made)

คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
1. ความมุ่งมั่น (drive)
2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)

สรุป คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้ คือ
1. มีความเฉลียวฉลาด
2. มีการศึกษาอบรมดี
3. มีความเชื่อมั่นใจตนเอง
4. เป็นคนมีเหตุผลดี
5. มีประสบการณ์ในการปกครองบังคับบัญชาเป็นอย่างดี
6. มีชื่อเสียงเกียรติคุณ
7. สามารถเข้ากับคนทุกชั้นวรรณะได้เป็นอย่างดี
8. มีสุขภาพอนามัยดี
9. มีความสามารถเหนือระดับความสามารถของบุคคลธรรมดา
10 มีความรู้เกี่ยวกับงานทั่ว ๆ ไปขององค์กร หรือหน่วยงานที่ตนปฏิบัติอยู่โดยเฉพาะ
11. มีความสามารถเผชิญปัญหาเฉพาะหน้า ที่จะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานให้ได้ทันท่วงที 12. มีความสามารถคาดการณ์

ภาวะผู้นำ (Leadership) ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี โดยมีองค์ประกอบดังนี้
1. ตัวผู้นำ
2. ผู้ตาม
3. จุดหมาย
4. หลักการและวิธีการ
5. สิ่งที่จะทำ
6. สถานการณ์

ภาวะผู้นำ (Leadership)

1. ผู้นำโดยกำเนิด ผู้นำประเภทนี้ เกิดมาก็มีคุณลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ อาจสืบทอดโดยตำแหน่ง หรือโดยบุญบารมีที่ได้สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน จึงทำให้บุคคลนั้น เป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลอื่น ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้นำโดยกำเนิด เช่น พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว

2. ผู้นำที่มีความอัจฉริยะ ผู้นำประเภทนี้เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผู้มีความสามารถเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะบุคคลในตอนเริ่มต้นของชีวิตในระยะแรก ๆ ก็เหมือนกับบุคคลทั่วไป แต่เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญา ได้รับการศึกษาพัฒนาปรับตัวเข้าสู่การเป็นผู้นำ เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายธานินทร์ เจียรวนนท์ และนายบิลเกตต์

3. ผู้นำที่เกิดขึ้นตามสายงานบริหาร ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้นำที่เกิดจากการได้รับการแต่งตั้งตามสายงานการบริหาร ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จก็จะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เช่น อธิบดี ผู้อำนวยการ อธิการบดี หัวหน้าฝ่าย

4. ผู้นำตามสถานการณ์ เป็นผู้นำที่เกิดขึ้นแบบมีทีมงานเป็นส่วนใหญ่ มีความใฝ่ใจสูง เน้นการบริหารงานให้ได้ทั้งคนและทั้งงาน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน รู้จักหน้าที่ของตน ผู้นำประเภทนี้แสดงออกให้เกินถึงความเป็นผู้นำที่ต้องออกคำสั่ง การบังคับบัญชา การตัดสินใจ ผู้นำแบบนี้มักเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นครู เป็นผู้สอนแทน ผู้นำในการฝึกอบรม การประชุม

ลักษณะและบทบาทของผู้นำ ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือบริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหาร-ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ องค์การหนึ่งองค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก็ย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้

1. ต้องมีความฉลาด (Intelligence)
2. ต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social Maturity & Achievement Drive) 3. ต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner Motivation)
4. ต้องมีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Attitudes)

ลักษณะของผู้นำในทศวรรษหน้า
1. เป็นผู้บริหารที่ไม่มากเกินไปในทางใดทางหนึ่ง คือ ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแต่งานอย่างเดียว หรือมุ่งที่คนอย่างเดียว
2. ผู้บริหารเน้นการสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีความเป็นเลิศในทุกด้าน
3. วิธีการแก้ปัญหาของผู้นำจะใช้ผู้ปฏิบัติงานแก้เอง
4. ผู้นำจะมอบอำนาจ จนพอที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้อำนาจนั้นให้งานสำเร็จในตัว
5. ผู้นำเน้นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานที่สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดี

บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
1. ชี้แนะ ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching)
2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน
3. ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก
4. ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
5. Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง
6. ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทัศนคติต้องเปลี่ยน

ผู้นำยุคใหม่
คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ ของผู้นำที่ดี ดังนี้
1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..

สรุป ผู้นำยุคใหม่ ก้าวไกลสู่สากล จึงจำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ ความคิดดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ สามารถคิดคาดการณ์ล่วงหน้า มีความมุ่งมั่น มีจิตใจดีงาน (business mind, social heart) พร้อมที่จะรับฟัง ยอมรับ และใส่ใจผู้อื่น มีความฉลาดทางความคิดปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ จัดการกับอารมณ์ และจูงใจ ทั้งตนเองและผู้อื่นให้มีจิตใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันทำงานได้ด้วยความเต็มใจเพื่อนำองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน

ผู้นำจึงควรเป็นผู้ที่หัวใหญ่ (Head) ใจโต (Heart) มือกว้าง (Hand) และร่างสมาร์ท (Health)

ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ เป็นสมาชิกในองค์กร แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานในองค์กรจะเป็นผู้บริหารทุกคน สมาชิกในองค์กรขนาดใหญ่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร ในองค์การนั้นผู้บริหารต่าง ๆ อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ผู้บริหารระดับล่างมักจะใช้ชื่อว่า Supervisor ถ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะเรียกว่า Foreman (หัวหน้างาน) ส่วนผู้บริหารระดับกลางก็จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก หัวหน้าหน่วย คณบดี ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร รับผิดชอบในด้านนโยบาย กลยุทธ์ และตัดสินใจนั้น ได้แก่ รองประธาน ประธาน ผู้อำนวยการ อธิการ ประธานบอร์ด CEO

ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 5 ประเภท
คือ
1. ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการ (Line Manager)
2. ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำแนะนำ (Staff Manager)
3. ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการเฉพาะด้าน (Functional Manager)
4. ผู้บริหารทั่วไป (General Manager)
5. ผู้บริหาร (Administrator)

ภาพแสดงลักษณะของผู้บริหารแบ่งตามพฤติกรรมที่แสดงออก

1. ผู้บริหารแบบ Impoverished จะเป็นผู้บริหารที่ไม่สนใจทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและเรื่องงาน เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ที่สุด

2. ผู้บริหารแบบ Country Club เป็นผู้บริหารที่มุ่งเน้นเรื่องความทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่จะไม่มุ่งเน้นเรื่องงาน ดังนั้นผู้บริหารแบบนี้เป็นผู้บริหารที่ผู้ใต้บังคับบัญชาชอบ แต่งานที่รับผิดชอบมักจะไม่บรรลุเป้าหมาย

3. ผู้บริหารแบบ Authority-Compliance เป็นผู้บริหารที่มุ่งแต่เรื่องงานโดยไม่คำนึงถึงเรื่องจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชา แม้ว่างานที่รับผิดชอบอาจจะบรรลุผล แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะไม่พอใจ ผู้ที่ทำงานด้วยจะอึดอัดใจ อาจจะลงท้ายความขัดแย้งในที่สุด

4. ผู้นำแบบ Middle the Road เป็นผู้บริหารที่พอได้ทั้งเรื่องคนและเรื่องงานผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานด้วยก็พอใจในระดับหนึ่งงานที่รับผิดชอบก็สำเร็จอยู่บ้าง

5. ผู้บริหาร Team เป็นผู้บริหารที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา และยังสามารถทำงานได้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายอีกด้วยเป็นลักษณะผู้บริหารที่พึงประสงค์ที่สุดในบรรดาผู้บริหารแบบอื่น ๆ

คุณลักษณะของผู้บริหาร
นักบริหารมืออาชีพได้สรุปคุณลักษณะดังนี้
1. Vision เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
2. Charisma เป็นผู้มีเสน่ห์ มีแรงดึงดูด สร้างความเชื่อให้คนเกิดความศรัทธา คล้อยตามได้
3. Integrity มีความเป็นปึกแผ่น เหนียวแน่น
4. Self – Less ทำอะไรไม่นึกถึงตนเองแต่คำนึงถึงส่วนรวม
5. Courage มีความกล้าหาญ
6. Uncompromising ไม่ยอมอ่อนในเรื่องบางเรื่อง
7. High Ground ความมีมาตรฐานในตัวเองมีความซื่อสัตย์ และมีความโปร่งใสสูง
8. Listening รู้จักฟัง
9. Fairness มีความยุติธรรมเที่ยงธรรม
10. Sense of Time มีสติ รู้ทันเหตุการณ์ว่าต้องทำอะไร
11. Know Others Know Oneself เข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเอง หรือรู้เขารู้เรา
12. Judgment ยุติธรรม
13. Inspiring มีความมุ่งมั่น
14. Faith มีความเชื่อมั่น ศรัทธา
15. Institutional มีความเป็นองค์กรนั้น

ผู้บริหารที่ดีควรที่จะมีคุณสมบัติของผู้นำควบคู่ไปด้วย ดังนี้
1. มีภาวะผู้นำ มีศิลปะในการครองใจคน
2. มีเมตตาธรรม ไม่มีอคติ หรือ ฉันทคติ
3. ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง
4. เป็นนักคิด นักวิเคราะห์
5. มีการสร้างวิสัยทัศน์
6. มีทักษะหลายด้าน

  • ทักษะในการตัดสินใจ 
  • ทักษะในการวางแผน 
  • ทักษะในการจัดองค์กร 
  • ทักษะในการแก้ไขปัญหา 
  • ทักษะในการสร้างทีมงาน 
7. รอบรู้และมีข้อมูลที่ทันสมัย
8. รู้และเข้าใจบทบาทหน้าที่ทันสมัย
9. กล้าตัดสินใจ
10. มียุทธวิธีและเทคนิค
11. รู้จักประนีประนอมและยืดหยุ่น
12. รู้จักการเจรจาต่อรอง (Win – Win) บางครั้งต้องรู้จัก แพ้เพื่อชนะ
13. ประสานงานเป็นและประสานประโยชน์ได้
14. รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
15. เป็นนักประชาธิปไตย
16. กระจายอำนาจเป็น
17. รู้จักทำงานในเชิงรุก
18. พิจารณาคนเป็น
19. โปร่งใสและตรวจสอบได้
20. รู้จักควรไม่ควร รู้จักความพอดี

     คุณสมบัติที่ได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นทั้ง ศาสตร์และศิลป์ ของผู้บริหารและผู้นำที่ต้องศึกษาเรียนรู้และพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสภาพเงื่อนไขต่าง ๆ ทันคน ทันงาน ทันการณ์ (กาล) ทันเกมของการเปลี่ยนแปลงคนยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดน

ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่
ผู้บริหารและการบริหารทุกระดับ ใช้ทักษะ (Skill) อย่างเดียวกันแต่ใช้สัดส่วนที่ต่างกัน ยิ่งขึ้นไปสู่ระดับบริหารที่สูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการข้อมูล เพื่อการตัดสินใจ และการใช้ทรัพยาการที่หลีกเลี่ยงในอนาคตมากขึ้น ดังนั้น ควรทำความเข้าใจอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. ผู้บริหารหรือหัวหน้างานระดับต้น First – Line Manager 
ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมงานเท่านั้นจัดการงานเท่าที่ได้รับคำสั่งให้ทำ จึงไม่ถึงขีดขั้นที่จะเข้าระดับ “ผู้จัดการ” โดยปกติจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น หัวหน้างาน (Foreman) ผู้ตรวจงาน หรือผู้ควบคุมงาน (Supervisor) หรือหัวหน้าแผนก (Section Chief) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้

ภาพแสดงการเปรียบเทียบระดับบุคลากรในองค์กร

การเปรียบเทียบระดับบุคลากรในองค์กร
1 ปฏิบัติงานตามแผน ซึ่งผู้บังคับบัญชามอบหมายให้ทำ
2 ใช้บุคลาการและทรัพยากรเท่าที่ได้รับมอบหมายมาให้ทำ
3 ทำแผนปฏิบัติการระยะสั้น ๆ โดยการควบคุมงานให้สำเร็จวันต่อวัน / วันรุ่งขึ้น หรือ ภายในสัปดาห์หน้า
4 มอบหมายภาระงานให้พนักงานทำ
5 ตรวจสอบงานที่พนักงานทำสำเร็จ
6 วัดผลงานพนักงานแต่ละคนในสายงาน
7 หัวหน้างานโดยมาก ได้รับแต่งตั้งมาจากคนงานในระดับเดียวกันขึ้นมา จึงมักตกอยู่ในฐานะ “ระหว่างเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยกันมาก่อนกับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด” ซึ่งทั้งสองฝ่ายคิดว่าหัวหน้างานควรเป็นพวกของตนฝ่ายตน หัวหน้างานจึงต้องสร้าง “Linking Pin” สร้าง “สมดุล” ให้ได้

2. ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Managers) ได้แก่ตำแหน่ง ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการฝ่ายผลิต หัวหน้าวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ฯลฯดังนั้นอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับกลาง Middle Management มีดังนี้
1 วางแผนระยะกลาง เพื่อสอดคล้องรองรับกับแผนระยะยาวขององค์การที่ได้วางไว้โดยผู้บริหารระดับสูง
2 กำหนดนโยบายของแต่ละฝ่ายงาน
3 วัดและประเมินผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชา และหัวหน้างานทั้งหลายในสายงานของตน
4 แจกจ่ายมอบหมายงาน ประสานงาน และตรวจสอบควบคุมเพื่อให้งานเป็นไปตามแผนงานระยะสั้นของหัวหน้าระดับต้น ดำเนินไปโดยราบรื่นสอดคล้องกับแผนระยะกลางและระยะยาว

3. ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers)
ได้แก่ ตำแหน่ง ประธานกรรมการบริษัท ประธานบริษัท ผู้บริหารระดับสูงหรือรองประธาน ผู้อำนวยการหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการ หรือ รวมถึง ตำแหน่งผู้ว่าการ เลขาธิการ อธิบดี ปลัดกระทรวง เป็นต้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบ การจัดการระดับสูง (Top Management) หรือการบริหารระดับสูง (Top Executive) งานที่ทำได้แก่
- พิจารณาและทบทวนแผนกลยุทธ์ แผนระยะยาว
- ประเมินผลการปฏิบัติงานของแผนงานหลักต่าง ๆ
- ประเมินเจ้าหน้าที่ชั้นบริหาร และเตรียมการคัดเลือกนักบริหารตำแหน่งสำคัญ
- ปรึกษาหารือกับผู้บริหารระดับรองลงไปในเรื่องราวและปัญหาสำคัญต่าง ๆ

การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย ต้องอาศัยทรัพยากรขององค์การขั้นพื้นฐาน คนเงิน วัตถุดิบ และทุน เป้าหมายของผู้บริหารทุกคนคือการทำให้เกิดผลกำไรและเพิ่มผลผลิต (ผลิตภาพ) นั่นคือการทำให้อัตราส่วนระหว่างผลผลิต (output) และปัจจัยการผลิต (input) เป็นที่น่าพอใจภายในเวลาที่กำหนดอย่างมีคุณภาพและบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยมีเป้าหมายจะให้บังเกิดสิ่งต่อไปนี้คือ

  • การเพิ่มผลผลิต หรือผลิตภาพ (Productivity) หมายถึง ประสิทธิผล (effectiveness) และประสิทธิภาพ (efficiency) ในการปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล รวมตลอดของทั้งองค์การ
  • ประสิทธิผล (effectiveness) คือ การบรรลุถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายตามที่ต้องการ คือมองตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
  • ส่วนประสิทธิภาพ (efficiency) นั่นคือความสามารถในการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุด
ระบบการบริหาร (Management System)
ระบบการบริหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ระบบเปิด (Open system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์ (interacts) กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก วิธีการบริหารงานอย่างอย่างมีระบบนั้นประกอบไปด้วย ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมภายนอกและจากการเรียกร้องขบวนการแปลงสภาพ ระบบการติดต่อสื่อสาร

2. ระบบปิด (Closed System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด ๆ จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ธุรกิจมักจะมองแต่ภายในองค์การของตนเองมากกว่าท่าจะสนใจกับสภาพแวดล้อม รอบ ๆ ตัวธุรกิจไม่ว่าจะเป็นลูกค้า รสนิยมผู้บริโภค สภาพการณ์ของตลาด ฯลฯ

1. มีการกระจายอำนาจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. จัดโครงสร้างให้เป็นไปตามสายงานการผลิต จำหน่าย
3. การบริหารงานส่วนกลาง (Corporate Management) รับผิดชอบในทุกกระบวนการของการบริหารงานหลักทุก ๆ ส่วนงาน
4. ผลการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จะถูกจัดโดยกำไร/การหมุนเวียนของกระแสเงินสด

หลักในการจัดรูปแบบของการบริหารงานยุคใหม่
การบริหารงานในหลายรูปแบบ โดยทั่วไปสรุปได้ 3 แบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 บริหารงานแบบอัตตาธิปไตย คือ การถือตนเอง ความคิดเห็นหรือวิธีการของตนเองเป็นใหญ่ ถือว่าตนเองฉลาดหรือเก่งกว่าใคร บริหารงานแบบเผด็จการ

รูปแบบที่ 2 บริหารงานแบบโลกาธิปไตย คือ การถือคนอื่นเป็นใหญ่ ไม่มีจุดยืนของตนเอง ขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าตัดสินใจ

รูปแบบที่ 3 บริหารงานแบบธรรมาธิปไตย คือ การถือธรรมหรือหลักการและเหตุผลเป็นสำคัญ ทำงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ยึดเอาความสำเร็จของงานส่วนรวมเป็นที่ตั้ง (RBM: Result Based Management) ยินดีฟังคำแนะนำจากทุกฝ่าย

ภาระหน้าที่และลักษณะงานของผู้บริหาร หน้าที่ของผู้บริหาร (Management Functions) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดกระบวนการจัดการ Henri Fayol นักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส ในต้นศตรรษที่ 19 ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารดังนี้ (POCCC)

1. Planning (การวางแผน)
2. Organizing (การจัดองค์การ)
3. Commanding (การสั่งการ)
4. Coordinating (การประสานงาน)
5. Controlling (การควบคุม)

การวางแผน (Planning) เป็นการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ต่าง ๆ และจัดทำแผนงานเพื่อประสานกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะกระทำในอนาคต เป็นการเตรียมการเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การจัดองค์การ (Organizing) เป็นการพิจารณาถึงงานที่จะต้องกระทำ ใครเป็นผู้ทำงานนั้น ๆ ต้องมีการจัดกลุ่มงานอย่างไร ใครต้องรายงานใคร และใครเป็นผู้ตัดสินใจ นั่นคือการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบ กำหนดสายการบังคับบัญชา

การชักนำ (Leading) เป็นการนำและจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา การสั่งการ การเลือกช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และการขจัดความขัดแย้ง หรือเป็นการกระตุ้นให้พนักงานใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

การควบคุม (Controlling) เป็นการตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องอีกด้วย

บทบาททางการบริหาร (Management Roles)
Henry Mintberg ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่าบทบาทของผู้บริหารที่สำคัญมี 10 อย่างประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมากบทบาท คือ
1. บทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal roles) ได้แก่

  • ประธาน (Figurehead) เป็นบทบาทในการเป็นตัวแทน องค์กร เป็นหัวหน้าในการปฏิบัติภารกิจประจำวันตามลักษณะทางสังคมและกฎหมาย เช่น อบรมสัมมนาต้อนรับลูกค้า หรือเป็นการสวมหัวโขนนั่นเอง
  • ผู้นำ (Leadership) เป็นบทบาทที่ต้องรับผิดชอบในการจูงใจและชี้นำผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
  • ผู้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี (Liasson) เป็นบทบาทในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับองค์การภายนอก การสร้างเครือข่ายต่าง ๆ สร้างไมตรี ผูกมิตรอันดีกับบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อองค์การ
2. บทบาทด้านข่าวสาร (Informational roles) ได้แก่
  • แสวงหาข้อมูลข่าวสาร (Monitor)
  • ผู้กระจายข้อมูลข่าวสาร (Disseminator)
  • โฆษก ประชาสัมพันธ์ (Spokesperson)
3. บทบาทด้านการตัดสินใจ (Decision roles) ได้แก่
  • ผู้ประกอบการ (Entrepreneur)
  • ผู้ขจัดความขัดแย้ง (Disturbance Handler)
  • ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocate)
  • ผู้เจรจาต่อรอง (Negotiator)
ทักษะของผู้บริหาร
Robert L. Katz ได้เสนอว่าทักษะของผู้บริหารที่สำคัญมี 3 อย่าง คือ
1) ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills)
2) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Skills)
3) ทักษะด้านการประสมแนวความคิด (Conceptual Skill)

กิจกรรมทางการบริหาร
Fred Luthans ได้เสนอกิจกรรมทางการบริหารมี 4 อย่างด้วยกัน คือ
1. Traditional Management ได้แก่ การตัดสินใจ การวางแผน และการควบคุม
2. Communication ได้แก่ การแลกเปลี่ยนแปลงข่าวสาร และการทำเอกสารต่าง ๆ
3. Human Resource Management ได้แก่ การจูงใจ การจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์ การบริหาร ความขัดแย้ง การจัดคนเข้าทำงานและการฝึกอบรม
4. Networking ได้แก่ การเข้าสมาคม การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก

     จากการสำรวจ ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาในการทุ่มเทให้กับกิจกรรมดังกล่าวต่างกัน คือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) ซึ่งก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วกว่าผู้อื่น จะเน้นกิจกรรมด้าน Networking มากที่สุดทำกิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์น้อยที่สุด ส่วนผู้บริหารที่ตั้งใจทำงานให้เกิดประสิทธิผล (Effective Manager) ซึ่งพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของการปฏิบัติงานเป็นเครื่องวัดนั้น จะเน้นด้านการติดต่อสื่อสาร (Communication) การบริหารทรัพยากรมนุษย์และงานด้านการบริหารตามลำดับ ส่วนกิจกรรมด้าน networking จะทำน้อยที่สุด

การประยุกต์
  เข้าใจพื้นฐานของความเป็นผู้บริหาร สามารถนำไปใช้กับการบริหารในชีวิตประจำวันหรือในหน่วยงานได้

การประเมิน
ตนเอง : เข้าใจที่มาของคำว่าผู้บริหารมากขึ้น
เพื่อน : เพื่อนทำงานที่ได้รับมอบหมาย
อาจารย์ : มีรายละเอียดชัดเจน ครบถ้วน

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2 วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2 
วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561
ความรู้ที่ได้รับ
  • ความหมาย 
  • ความสำคัญ 
  • หลักการ 
  • แนวคิด 
  • ทฤษฏี 
การบริหารสถานศึกษา

ว่าที่ ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด

ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา 
ความหมายของการบริหารการศึกษา ( Education Administration )
  • การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
  • การบริหาร หมายถึง การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้
  • การศึกษา หมายถึง การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นเมื่อนำ
  • การบริหารการศึกษา หมายถึง การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี

การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม

ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ คือการบริหารงานบุคคล เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี

หลักการแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา

หลักการบริหารงานบุคคลสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545) ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้

1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal / Expected / Output)

2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)

3. ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)

4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)

5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่

การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ (Science and arts)

  • เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาสาสตร์ 
  • เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์ 
ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา

ความหมายของทฤษฏี กลุ่มของข้อเสนอ หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ

ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
  • ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ 
  • ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย 
พัฒนาการของทฤษฏีทางการบริหาร
ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
  • การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ 
  • การจัดการเชิงบริหาร
  • การบริหารแบบราชการ
1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)

Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ได้เสนอ หลัก 4 ประการ

1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
2. มีการวางแผนการทำงาน
3. คัดเลือกคนทำงาน
4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

2.ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร (Administration management)

  • Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC 
  • Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่ 
  • Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol 
โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่ 7 ประการ


3.ทฤษฏีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic management)
  • Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ
  • มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ 
  • ความไม่เป็นส่วนตัว 
  • แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง 
  • มีโครงสร้างการบังคับบัญชา 
  • ความเป็นอาชีพที่มั่นคง 
  • มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ 
  • ความเป็นเหตุเป็นผล 
ข้อเสียของระบบราชการ
  • ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป 
  • ไม่ยืดหยุ่นทำให้งานล่าช้า 
  • ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์ 
  • การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ทันเหตุการณ์และเทคโนโลยี 
  • การมีสายการบังคับบัญชา ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่น ประจบประแจง 
  • การแบ่งงานตามความถนัดเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดการสร้างอาณาจักร 
ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร

ความเหมือน

1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ

2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน

3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล

4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ กำไร


ความต่าง

  • Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best way
  • Fayol : เน้นหลักการ 14 หลักการ
  • Weber : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผล

ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
  • ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก 
  • การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น 
  • ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ 
หลักพฤติกรรมศาสตร์

1. ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก (Early behavioral theories)
  • Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
  • Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม
2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies) การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า
  • เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
  • กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ
3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human relation movement)
  • Abraham Maslow : มาสโลว์ ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
  • Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์ ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
ทฤษฏี X และทฤษฏี Y : เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์ สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X

ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ ต้องควบคุมมาก

ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้ มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อนร่วมงาน คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

4. หลักพฤติกรรมศาสตร์(Behavioral science approach) เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อนำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke


การบริหารศาสตร์

การบริหารปฏิบัติการ ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร

1.การบริหารศาสตร์ (Management science) มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น 

2.การบริหารปฏิบัติการ (Operation management)
  • ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ 
  • กำหนดตารางการทำงาน 
  • วางแผนการผลิต 
  • การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ 
  • การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น เทคนิคการทำนายอนาคต 
  • การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน การวางแผน 
  • และควบคุมโครงการ 
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร management Information System
  • สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร (Computer based information system : CBISs) 
ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
  • ทฤษฏีเชิงระบบ 
  • ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ 
  • ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่ 
1. ทฤษฏีเชิงระบบ (System theory)
  • รูปแบบการวิเคราะห์ระบบ 
  • มุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิต 
  • ประเมินประสิทธิภาพของระบบงาน 
  • ประเมินเวลา 
  • ประเมินการใช้งบประมาณ 
  • ประเมินความถูกต้องของกระบวนการ 
  • ประเมินผลผลิตหรือผลงาน 
2.ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency theory)

3 ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่

ทฤษฏี Z ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William Ouchi
โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมและครอบครัว


การประยุกต์

สามารถนำทฤษฏีต่างๆ ไปปรับใช้กับการบริหารในรูปแบบต่างๆ ได้

การประเมิน
ตนเอง : ทฤษฏีมีหลายหลายแบบ บางทฤษฏียังไม่เข้าใจ
เพื่อน : เพื่อนทำงานที่ได้รับมอบหมายมาส่งตรงเวลา
อาจารย์ : แนะนำ ยกตัวอย่าง อธิบาย ในเนื้อหาที่ยังไม่เข้าใจให้ฟัง

บันทึกการเรียนครั้งที่ 1 วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ.2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 1 

วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ.2561
ความรู้ที่ได้รับ

  • ปฐมนิเทศ 
  • แนวการสอน 

แนวการสอน (Course Syllabus)

ชื่อวิชา
(ภาษาไทย) การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
ชื่อวิชา (ภาษาอังกฤษ) School Administration in Early Childhood
รหัสวิชา EAED 5401
จำนวนหน่วยกิต 3(3-0-6)
ผู้สอน ว่าที่ ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วันเวลาที่สอน กลุ่ม 101 วันพุธ เวลา 08:30- 11:30น. ห้อง 34-40 



คำอธิบายรายวิชา
ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด หลักการ และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา ประเภทของสถานศึกษาปฐมวัย บทบาท หน้าที่ของผู้บริหาร รูปแบบการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย การจัดโครงสร้างขององค์การ การจัดระบบงานบริหาร บุคลิกภาพคุณลักษณะและสมรรถนะของผู้บริหาร การดำเนินการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กและสถานศึกษาปฐมวัย การนิเทศและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร การทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ท้องถิ่นและชุมชน และการรณรงค์เพื่อการส่งเสริมการจัดการศึกษาปฐมวัย

ผลลัพธ์การเรียนรู้

หลังจากการศึกษารายวิชานี้แล้ว ผู้เรียนมีพฤติกรรมดังนี้

1.ด้านคุณธรรม จริยธรรม
1.1 มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเสียสละ
1.2 มีวินัย ตรงต่อเวลา และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
1.3 เคารพสิทธิ และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
1.4 เคารพกฎระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ของสาขาวิชา คณะฯ และมหาวิทยาลัย
1.5 มีสัมมาคารวะให้ความเคารพต่อครู อาจารย์ และผู้อาวุโส

2.ด้านความรู้
2.1 เพื่อให้นักศึกษาอธิบายความหมาย ความสำคัญ แนวคิด หลักการ และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษาได้
2.2 เพื่อให้นักศึกษาวิเคราะห์ประเภทของสถานศึกษาปฐมวัย บทบาท หน้าที่ของผู้บริหารได้
2.3 เพื่อให้นักศึกษาวิเคราะห์รูปแบบการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย การจัดโครงสร้างขององค์การ การจัดระบบงานบริหารได้
2.4 เพื่อให้นักศึกษามีบุคลิกภาพคุณลักษณะและสมรรถนะของผู้บริหาร
2.5 เพื่อให้นักศึกษาอธิบายวิธีการการดำเนินการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กศูนย์พัฒนาเด็กและสถานศึกษาปฐมวัยได้
2.6 เพื่อให้นักศึกษาสามารถนิเทศและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร การทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ท้องถิ่นและชุมชน และการรณรงค์เพื่อการส่งเสริมการจัดการศึกษาปฐมวัยได้

3.ด้านทักษะทางปัญญา

3.1 สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับทฤษฎีการบริหารจัดการสถานศึกษา
3.2 สามารถสืบค้น ตีความ ประเมินปัญหาสร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับเทคนิค วิธีการการจัดโครงสร้างขององค์การ การจัดระบบงานบริหาร
3.3 สามารถวิเคราะห์ปัญหา สรุปปัญหา ความต้องการเพื่อนำไปใช้พัฒนาตนเอง
3.4 สามารถประยุกต์ความรู้นำไปใช้ในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการกับการนิเทศและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร การทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ท้องถิ่นและชุมชน

4.ด้านทักษะความสามารถระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
4.1 สามารถใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร การนำเสนอได้ถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
4.2 สามารถให้ความช่วยเหลือ ร่วมมือในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งบทบาทการเป็นผู้นำ และผู้ร่วมงาน และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปฐมวัย พ่อแม่ผู้ปกครอง
4.3 สามารถเป็นผู้ริเริ่มประเด็นปัญหา และหารือแนวทางแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งของตนเองและกลุ่ม
4.4 มีความรับผิดชอบการพัฒนาการเรียนรู้ของตนในวิชาชีพครูปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง

5.ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
5.1 มีทักษะการใช้เครื่องมือที่จำเป็นในปัจจุบันเพื่อการศึกษาค้นคว้า และเรียนรู้ ประสบการณ์ในการเรียนวิชาการบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
5.2 สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน พร้อมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่อมานำเสนอได้อย่างเหมาะสม
5.3 สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสืบค้น การนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมการเรียนการสอน

  • ปฐมนิเทศ แนะนำรายวิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย 
  • ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด หลักการ 
  • ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา 
  • ประเภทของสถานศึกษาปฐมวัย 
  • บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร 
  • รูปแบบการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย 
  • การจัดโครงสร้างขององค์การ 
  • การจัดระบบงานบริหาร 
  • สอบกลางภาค 
  • บุคลิกภาพคุณลักษณะและสมรรถนะของผู้บริหาร 
  • การดำเนินการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กและสถานศึกษาปฐมวัย 
  • การนิเทศและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร 
  • การทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ท้องถิ่นและชุมชน 
  • การรณรงค์เพื่อการส่งเสริมการจัดการศึกษาปฐมวัย 
การมอบหมายงาน

1.ศึกษาค้นคว้า
2.นำเสนองานกลุ่มและงานเดี่ยว

การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ 100 %

1. การวัดผล
1.1 คะแนนระหว่างภาค 70 %

  • จิตพิสัย 10 %
  • งานเดี่ยว 20 %
  • งานกลุ่ม 20 %
  • ทดสอบระหว่างภาค 20 %
1.2 คะแนนสอบปลายภาค 30 %

ข้ออตกลงการเรียนวิชาการบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
1. แต่งการสุภาพถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัยและคณะศึกษาศาสตร์
2. รักษากิริยา มารยาทและวินัยอย่างเคร่งครัด
3. หากเข้าห้องเรียนช้าเกิน 15 นาที ถือว่ามาสาย ถ้ามาสายเกิน 3 ครั้ง ถือว่าขาด 1 ครั้ง
4. ต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 80 % ของเวลาเรียนทั้งหมด
5. หากขาดเรียนต้องมีใบลา หากลาป่วยต้องมีใบรับรองแพทย์
6. งานที่ได้รับมอบหมายต้องส่งงานตรงเวลาทุกครั้ง
7. งานกลุ่มต้องปฏิบัติตามเกณฑ์โดยเคร่งครัด

การประยุกต์ สามารถนำวิธีการไปใช้วางแผนสำหรับการเขียนแผนการเรียนการสอนได้ ได้ทราบถึงหัวข้อและความหมายของเรื่องที่เรียนเป็นภาพรวมตลอดเทอม

การประเมิน
ตนเอง : ตั้งใจฟัง ถามตอบและแสดงความคิดเห็น ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย
เพื่อน : ตั้งใจเรียน มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้สอน ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย
อาจารย์ : แนะนำแผนการเรียน ทำให้เข้าใจภาพรวมของวิชา